Wednesday, April 23, 2008

โรงเรือนและสภาพแวดล้อม

1. โรงเรือน
ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกกับตะวันตก มีลวดตาข่ายล้อม รอบเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์ ชี่งจะทำอันตรายและนำโรคมาสู่กระต่าย หลังคาของโรงเรือนจะ ต้องกันแดดและฝนได้ดี พื้นภายในโรงเรือนควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อไม่ให้เปียกชื้นและทำ ความสะอาดได้ง่าย กรณีที่ผู้เลี้ยงมีพื้นที่ในบ้านหรือใต้ชายคาบ้านมากพอสมควร และกระต่าย ที่เลี้ยงมีจำนวนไม่มากนัก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือน

2. กรง
ขนาดของกรงขึ้นกับจำนวนกระต่าย ถ้าเป็นกรงเดี่ยวควรมีขนาดกว้าง 50-60 เชนติเมตร ยาว 60-90 เชนติเมตร สูง 45-60 เซนติเมตร ถ้าต้องการเลี้ยงกระต่ายหลายตัว อาจทำเป็นกรงตับและซ้อนกัน 2-3 ชั้น หรือถ้าจะขังหลายๆ ตัวรวมกัน กรงที่ใช้จะต้องใหญ่พอ ที่กระต่ายจะอยู่กันได์ไดยไม่หนาแน่นเกินไป วัสดุที่ใช้ทำกรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่าย ที่มีช่องกว้างประมาณ 1/2 - 3/4 นิ้ว ถ้าเป็นกรงส่าหรับแม่กระต่ายเลี้ยงลูก ลวดตาข่ายที่ใช้บุพื้น ควรมีช่องขนาด 1/2 นิ้ว เพื่อปัองกันขาของลูกกระต่ายติดในร่องของลวด ถ้าเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัว อาจชื้อกรงส่าเร็จรูปที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่ต้องไม่ลืมว่ากรงที่ใช้จะต้อง มีขนาดใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ได้อย่างสบาย และต้องแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน
3. อุปกรณ์การให้อาหาร
ควรใช้ถ้วยดินเผาขนาดเสนผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และมีน้ำหนักมาก พอที่กระต่ายจะ ไม่สามารถทำล้มได้ อาจใช้กล่องใส่อาหารที่ทำด้วยอลูมิเนียมเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปครึ่ง วงกลมผูกแขวนติดกับข้างกรง ถ้าเป็นกระต่ายขุน อาจใช้กล่องอาหารอัตโนมัติเพื่อที่กระต่าย จะได้กินอาหารตลอดทั้งวัน


4. อุปกรณ์การให้น้ำ
มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ถ้วยดินเผาใส่น้ำ แต่มีข้อเสียคือ กระต่ายอาจถ่ายมูลหรือ ปัสสาวะลงในถ้วยทำให้สกปรกได้ หรืออาจใช้ขวดอุดด้วยจุกยาง ซึ่งมีรูส่าหรับสอดท่อทองแดง วิธีใช้ให้นำขวดไปเติมน้ำจนเกือบเต็มขวดแล้วคว่ำขวดแขวนที่ข้างกรงกระต่ายให้ปลายท่อ ทองแดงสูงระดับที่กระต่ายกินน้ำได้สะดวก ควรตัดท่อทองแดงให้โค้งพอเหมาะ น้ำจึงจะไหล ได้ดีถ้าเลี้ยงกระต่ายเป็นจำนวนมาก ๆ อาจใช้อุปกรณ์ไห้น้ำแบบอัตโนมัติก็ได้ เพื่อประหยัด แรงงานและอุปกรณ์ แต่ค่าไซ้จ่ายค่อนข้างสูง

5. รังคลอด
ควรมีขนาดกว้างพอที่แม่กระต่ายและลูกกระต่ายอยู่ได้อย่างสบาย โดยทั่วไป รังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เชนติเมตร ยาว 40 เชนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร พื้นรัง- คลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด 1/2 นิ้ว หรือใช้ไม้ตีปิดพื้นให้ทึบ ปูพื้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง

การทำความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพี่อลดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากมูลกระต่าย ส่วนภาชนะใส่น้ำและอาหารควรล้างทำความสะอาด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

Tuesday, April 22, 2008

พาลูกๆ ครอกที่3 ของ แพนด้าไปเที่ยว TIGA ครับ


โดนนู๋ยุ้ย(เพื่อนที่ทำงาน) บังคับให้เอาไปให้ดูครับ เลยต้องหอบไปสองตัวครับ ครอกนี้มีอยู่ 4 ตัวครับ ท่าทางซึมๆ ยังไงไม่รู้ ทำเป็นนิ่ง แต่อยู่บ้านวิ่งกระจาย หรือไม่ก็คงจะกลัวอะไรสักอย่างแน่ๆ..

ดูภาพไปเที่ยว TIGA (ที่ทำงานป๊ะป๋า) >>

สายพันธุ์ของกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันในประเทศไทย


1. พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ (Newzealand White)
เป็นกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายที่สุด มีขนสีขาวตลอดตัว ตาสีแดงหน้าสั้น มีสะโพกใหญ่ ไหล่กว้าง ส่วนหลังและสีข้างใหญ่ เนื้อเต็ม ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 4.1-5.0 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรัม


2. พันธุ์แคลิฟอร์เนียน (Californian)
มีขนสีขาวตลอดตัวยกเว้นที่บริเวณใบหู จมูก ปลายเท้าและปลายหางจะมีสีดำ ลำตัวท้วมหนา สะโพกกลม ช่วงไหล่และช่วงท้ายใหญ่ ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.0-5.0 กิโลกรัม

3. พันธุ์แองโกร่า (AngOra)
เลี้ยงกันมากทางภาคเหนือ มีขนฟูยาว ขนสีขาว สีดำหรือสีอื่น ๆ เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้ หนัก 2.4-3.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.5-3.8 กิโลกรัม

4. พันธุ์พื้นเมือง
มีหลายสีเช่น สีเทา ขาว น้ำตาล ฯลฯ ตาสีดำ หน้าแหลม เลี้ยงลูกเก่ง ทนต่อสภาพ แวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-3.0 กิโลกรัม ปัจจุบันมีการผสมข้ามพันธุ์ กับกระต่ายพันธุ์อื่น จนหากระต่ายพื้นเมืองแท้ได้ยาก

ข้อมูลจาก : http://202.143.135.242/digital_library/agri/rabbit/breed.htm

เอารูปลูกๆ ของน้อง PANDA กับ พี่มู่ตู้มาให้ดูครับ

เป็นลูกของ เจ้าแพนด้ากับเจ้า มู่ตู้ ครับ แพนด้าเป็นกระต่ายพันธุ์โปลิช มู่ตู้เป็นกระต่ายไทย คลอดเมื่อ 4/10/2007 ครับผม ต้องใช้นมกล่องเลี้ยงครับ เพราะแพนด้าไม่มีน้ำนมครับ